top of page

ทำความรู้จักกับสัญญาลีสซิ่งและสัญญาเช่าซื้อ

Updated: Aug 21

ทำความรู้จักกับสัญญาลีสซิ่งและสัญญาเช่าซื้อ

เวลาเราซื้อของชิ้นใหญ่ ๆ อย่างรถยนต์ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์สำนักงาน หลายครั้งอาจไม่ได้จ่ายเงินก้อนใหญ่ทันที แต่เลือกใช้ “สัญญาลีสซิ่ง” หรือ “สัญญาเช่าซื้อ” เพื่อแบ่งจ่ายและใช้สิทธิในทรัพย์สินนั้นได้เลย แต่สองคำนี้แม้จะคล้ายกันมาก แต่ความจริงมีความต่างที่สำคัญที่ต้องเข้าใจให้ชัด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง


สัญญาลีสซิ่งคืออะไร?

สัญญาลีสซิ่ง (Leasing) คือ การที่ผู้ให้เช่า (หรือผู้ให้ลีสซิ่ง) ให้คุณใช้ทรัพย์สิน เช่น รถยนต์ หรือเครื่องจักร โดยคุณจ่ายค่าเช่าเป็นงวด ๆ ตามที่ตกลงกัน คุณมีสิทธิใช้ทรัพย์นั้น แต่ไม่ใช่เจ้าของ เมื่อครบสัญญา คุณต้องคืนทรัพย์สินให้กับผู้ให้เช่า หรือในบางกรณีอาจมีสิทธิซื้อขาดในราคาที่ตกลงกันอีกที

  • หากคุณทำธุรกิจขนส่ง และต้องการใช้รถบรรทุกเพื่อรับงานใหม่ คุณไปทำสัญญาลีสซิ่งกับบริษัทลีสซิ่งแห่งหนึ่ง โดยตกลงเช่ารถบรรทุกเดือนละ 25,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี ตลอดสัญญาคุณเป็นแค่ผู้ใช้รถไม่ใช่เจ้าของ หลังครบ 5 ปี คุณต้องคืนรถ หรือถ้าสัญญาระบุ คุณอาจซื้อรถคันนั้นในราคาพิเศษที่ตกลงกันล่วงหน้า


สัญญาเช่าซื้อคืออะไร?

สัญญาเช่าซื้อ (Hire Purchase) คือ สัญญาที่คุณทำกับผู้ขายหรือผู้ให้เช่าซื้อ โดยจ่ายเงินผ่อนเป็นงวด ๆ เหมือนการเช่า แต่พอคุณจ่ายครบตามสัญญา ทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิของคุณทันที

  • จากกรณีข้างต้น คุณอาจเลือกทำสัญญาเช่าซื้อรถบรรทุกกับผู้ขาย โดยจ่ายเดือนละ 30,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี พอจ่ายครบ รถบรรทุกนั้นจะเป็นของคุณทันทีโดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม


สัญญาลีสซิ่งกับสัญญาเช่าซื้อต่างกันอย่างไร?

แม้ทั้งสองสัญญาจะทำให้คุณได้ใช้ทรัพย์สินทันทีโดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อน แต่สัญญาทั้งสองแบบก็มีข้อแตกต่างกัน ดังนี้


ลีสซิ่ง

เช่าซื้อ

กรรมสิทธิในทรัพย์สิน

ผู้ให้เช่าเป็นเจ้าของตลอดสัญญา

ผู้ให้เช่าซื้อยังเป็นเจ้าของทรัพย์สินจนกว่าผู้เช่าซื้อจะขำระครบทั้งหมด

เมื่อผ่อนครบ

ต้องคืนทรัพย์ หรืออาจขอซื้อขาด (ถ้าระบุในสัญญา)

ผู้เช่าซื้อได้เป็นเจ้าของทันที


ค่าใช้จ่ายแฝง

อาจมีค่าใช้จ่ายกรณีคืนทรัพย์ เช่น ตอนตรวจเช็คสภาพ ค่าซ่อมแซม

ค่าใช้จ่ายจบเมื่อผ่อนครบ

สรุปแล้ว…เลือกแบบไหนดี?

เมื่อถึงคราวที่ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกทำสัญญาแบบไหน คำตอบก็คงต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณค่ะ

  • ถ้าคุณแค่ต้องการใช้ทรัพย์สินชั่วคราว ไม่อยากเป็นเจ้าของ หรือวางแผนเปลี่ยนทรัพย์สินใหม่ในอนาคต สัญญาลีสซิ่งตอบโจทย์ เพราะผ่อนถูกกว่า และไม่ต้องห่วงตอนขายต่อ

  • แต่ถ้าคุณอยากได้ทรัพย์สินมาเป็นของคุณในที่สุด เช่น รถบรรทุกที่ใช้ทำมาหากินประจำ สัญญาเช่าซื้ออาจคุ้มกว่า เพราะสุดท้ายแล้วรถจะเป็นของคุณ


เพิ่มเติม! ภาษีที่เกี่ยวข้องกับสัญญาลีสซิ่งและสัญญาเช่าซื้อ

มาในมุมภาษีกันสักเล็กน้อย ลีสซิ่งและเช่าซื้อมีความต่างที่ควรรู้ สำหรับ สัญญาลีสซิ่ง ค่าเช่าในแต่ละงวดสามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้เต็มจำนวนในรอบบัญชีนั้น เพื่อลดหย่อนภาษี 


ส่วน สัญญาเช่าซื้อ เมื่อผู้เช่าซื้อได้รับทรัพย์สินมาใช้งาน ผู้เช่าซื้อจะต้องบันทึก ทรัพย์สินนั้นเป็นสินทรัพย์ของกิจการ แล้วค่อยบันทึก ค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินนั้นเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีในแต่ละงวดตามอายุการใช้งานตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่จ่ายในแต่ละงวดของการผ่อนชำระ ก็สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ในรอบบัญชีนั้น ๆ ได้ 


ความสำคัญของการทำสัญญาลีสซิ่งและสัญญาเช่าซื้อ

การทำสัญญาลีสซิ่งหรือเช่าซื้อไม่ใช่แค่การตกลงเรื่องค่างวด แต่ยังมีความสำคัญในแง่การคุ้มครองสิทธิของทั้งสองฝ่าย รวมถึงผลต่อค่าใช้จ่ายและการบริหารความเสี่ยงในระยะยาว การทำความเข้าใจเงื่อนไขในสัญญาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสัญญาแต่ละแบบมักมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน เช่น

  • เงื่อนไขการยกเลิกสัญญา: หลายสัญญาระบุค่าปรับสูงหรือกำหนดให้ต้องจ่ายเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดหากยกเลิกก่อนกำหนด

  • ความรับผิดชอบด้านซ่อมบำรุงและประกันภัย: โดยเฉพาะในสัญญาลีสซิ่ง ผู้เช่ามักต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ จึงควรตรวจให้ชัดว่าฝ่ายใดดูแลค่าใช้จ่ายใดบ้าง

  • สิทธิซื้อขาด (กรณีลีสซิ่ง): ถ้าต้องการเป็นเจ้าของในอนาคต ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสัญญาระบุสิทธิซื้อขาด เงื่อนไข และราคาที่ชัดเจน

  • ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: ทั้งลีสซิ่งและเช่าซื้ออาจมีดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมแฝง ควรถามให้แน่ชัดเพื่อวางแผนค่าใช้จ่ายได้ถูกต้อง

  • เงื่อนไขการดูแลรักษาทรัพย์สิน: บางสัญญากำหนดให้ผู้เช่าต้องบำรุงรักษาตามรอบเวลา หากละเลยอาจต้องรับผิดชอบค่าปรับหรือค่าเสียหาย


"เพราะสัญญาแต่ละประเภทส่งผลโดยตรงต่อทั้งค่าใช้จ่าย สิทธิประโยชน์ของธุรกิจ รวมถึงข้อพิจารณาทางกฎหมาย ภาษี และการบัญชี ซึ่งจำเป็นต้องวิเคราะห์อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะภายใต้มาตรฐาน TFRS 16 ที่กำหนดให้กิจการต้องประเมินมูลค่าสิทธิการใช้ทรัพย์สิน (Right-of-Use Asset) และหนี้สินตามสัญญาเช่าอย่างถูกต้อง การมีผู้เชี่ยวชาญช่วยวิเคราะห์และตีความเงื่อนไขสัญญาเพื่อการบันทึกบัญชี จะช่วยให้กิจการสามารถรับรู้รายการต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับมาตรฐาน และลดความเสี่ยงจากการตีความคลาดเคลื่อน" 


หากสนใจท่านใดสามารถติดต่อรับคำปรึกษาได้ที่

  1. อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรนณีทวีสิน) โทร: (+66) 82-899-7979 E-mail: tommy.pichet@actuarialbiz.com

  2. คุณลักษณา ชัยวุฒิธร โทร: (+66) 81-071-4060 E-mail: abs.office@actuarialbiz.com


ABS Valuation พร้อมเดินไปกับคุณในทุกการตัดสินใจสำคัญ


 
 
bottom of page