แผนผลประโยชน์ Long Service Award แจกทองทำพิษ
- อาจารย์ทอมมี่ พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน

- Nov 27
- 1 min read

ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการแจกผลประโยชน์พนักงานเป็นทองนั้น มีความเสี่ยงที่ขึ้นกับราคาทอง ดังนั้นในตอนที่คำนวณผลประโยชน์พนักงานนั้น ก็เลยจะเป็นที่ต้องประมาณการราคาทองในอนาคตเข้าไปในการคำนวณด้วย ทั้งนี้ การจะประมาณราคาทองเพื่อให้การประเมินผลประโยชน์พนักงานในแต่ละครั้งได้ถูกต้องนั้น ถ้าจะอาศัยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ประกันภัยเพื่อประมาณราคาทองคำที่แท้จริง ก็คงเป็นไปได้ยาก และแม้ว่าจะทำได้ก็คงจะมีค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างการคำนวณผลประโยชน์พนักงานที่มากพอสมควรเลยทีเดียว
ปกติแล้ว นักคณิตศาสตร์ประกันภัยทำได้อย่างเดียวในการประเมินราคาทองคำในอนาคตด้วยการประเมินราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นด้วยอัตราเงินเฟ้อ จากราคาทองคำในปัจจุบัน โดยไม่ได้อาศัยสมการหรือแบบจำลองที่ซับซ้อนแต่อย่างใด เพื่อให้การคำนวณตัวผลประโยชน์พนักงานนั้น ทำได้ง่ายและรวดเร็ว
แต่ถึงแม้จะทำแบบนั้นไปก็ตาม ในช่วงที่ราคาทองแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะมีโอกาสทำพิษกับบริษัทที่ให้แผนผลประโยชน์พนักงานเหล่านี้อยู่เสมอ
ตัวอย่างเหตุการณ์ปี 2568
ยกตัวอย่างเคสหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2568 ที่มีพนักงานบริษัทประท้วง เพราะบริษัทจ่ายโบนัสให้พนักงานน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ ผลประกอบการของบริษัทนั้น ก็ปกติดี ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากปีก่อน แต่พอเจาะลึกไปในสาเหตุก็พบว่า สิ่งที่ทำให้บริษัทหรือนายจ้างต้องตัดผลประโยชน์ที่เป็นโบนัสประจำปีของพนักงานทุกคนลงเพราะ ในปีนั้น มีพนักงานครบเกณฑ์รับทองมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ประกอบกับ ราคาทองคำพุ่งเกือบเท่าตัวภายในหนึ่งปี (ใช้ปี 2568 เมื่อเทียบกับ ปี 2567)
ในตัวอย่างกรณีศึกษานี้ พนักงานเป็นพนักงานในโรงงานและได้ประท้วง เนื่องจากไม่พอใจโบนัส 5 เดือน พร้อมเงินพิเศษ 12,000 บาท จนทำให้คนทั่วไปคิดว่าพนักงานโลภมาก แต่ที่จริงแล้ว จากสถิติที่ผ่านมา พนักงานกลุ่มนี้จะได้โบนัส 7 เดือน เหมือนทุกปีที่ผ่านมา
ต้องบอกว่า โดยปกติแล้ว ผลประโยชน์ของพนักงานในโรงงานจะมีเงินเดือนน้อยแต่โบนัสเยอะ เช่น ถ้าเงินเดือนทั่วไปควรจะได้ 25,000 บาท และ โบนัส 1 เดือน แต่ถ้าเป็นพนักงานในโรงงาน ก็อาจจะได้เงินเดือนเพียงแค่ 18,000 บาท แต่โบนัส 6 เดือน เป็นต้น จึงทำให้ โบนัสของพนักงานโรงงาน เป็นปัจจัยที่พนักงานตั้งตารอคอย
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันสำหรับพนักงานโรงงานคือ โบนัสถูกลดลงเหลือ 5 เดือน ซึ่งสาเหตุสำคัญที่อยู่เบื้องหลังที่เป็นตัวการในครั้งนั้น ไม่ใช่ผลประกอบการ ไม่ใช่การบริหารที่ไม่ดี แต่คือ โครงสร้างแผนผลประโยชน์พนักงานที่มีความเสี่ยงโดยที่ผูกติดกับราคาทอง
เมื่อราคาทองแพงสูงขึ้นกว่าการประมาณการ ทำให้เงินสำรองที่คำนวณได้จากการประเมินผลประโยชน์พนักงานในช่วงที่ผ่านมาก็มีไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้เงินที่บริษัทกันไว้สำหรับโบนัสทั้งปี ไม่เพียงพอต่อการจ่ายทองตามแผนผลประโยชน์ระยะยาวเดิมที่เคยสัญญาไว้
สิ่งที่บริษัททำได้คือ โบนัสปรับกลับมาเหมือนเดิมได้ แต่พนักงานที่จะได้ทองในปีนั้น ต้องเสียสละ “ตัดทอง” ที่เป็นแผนผลประโยชน์ระยะยาวทิ้ง ในปีนั้น
ซึ่งแน่นอนว่า พนักงานที่ทำงานกันมานาน และเป็นแผนผลประโยชน์ระยะยาวที่เขาควรจะต้องได้ จะให้พนักงานบางส่วนมาสละง่าย ๆ ได้อย่างไร แผนผลประโยชน์ระยะยาวจึงไม่ใช่แค่ ของแถม ที่บริษัทให้เวลาที่พนักงานอยู่จนครบอายุงาน แต่มันเป็นความตั้งใจและควรถูกสำรองเงินเอาไว้อย่างเหมาะสม เพราะมันเป็นสิ่งที่พนักงานได้รับการสื่อสารและตั้งใจสะสมมาด้วยความตั้งใจเพื่อให้ทำตามได้ตามเงื่อนไขผลประโยชน์ระยะยาวที่บริษัทเคยสัญญาไว้
มุมมองการป้องกันปัญหา
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ “วัวหายล้อมคอก” แบบนี้ บริษัทหรือนายจ้าง ควรจะออกแบบแผนผลประโยชน์ระยะยาวให้เหมาะสมและประเมินความเสี่ยงไว้ก่อน โดยการจัดทำการประเมินการคำนวณผลประโยชน์พนักงาน ตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 19 (TAS19) โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ความสามารถ และสามารถช่วยสื่อสารได้อย่างเหมาะสม ถึงความเสี่ยงที่บริษัทหรือนายจ้างอาจจะได้เจอในอนาคต ไม่ใช่รอให้เกิดเหตุการณ์ “น้ำลดตอผุด” ขึ้นมา และให้เหตุผลว่า มีการกันเงินสำรองเงินผลประโยชน์พนักงานไม่เพียงพอ
ปัญหาในตัวอย่างนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดมาครั้งแรก แต่เคยเกิดมาหลายครั้ง และในหลายประเทศ โดยบางบริษัทถึงขั้นกับต้องถูกฟ้องล้มละลาย เพราะไม่สามารถจะจ่ายเงินผลประโยชน์ระยะยาวให้กับลูกจ้างหรือพนักงานได้ กระดุมเม็ดแรกของทุกบริษัทจึงต้องมีการคำนวณผลประโยชน์พนักงานโดยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่มีความชำนาญการและมีประสบการณ์ในด้านนี้โดยเฉพาะ
ถ้าคิดว่าการคำนวณผลประโยชน์พนักงานเป็นเพียงแค่การเอาตัวเลขจับใส่เครื่องคิดเลข ปัญหาเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่การคำนวณผลประโยชน์พนักงานที่ดีนั้น จะต้องมองให้ออกว่า เงินสำรองทางคณิตศาสตร์ประกันกัยที่ต้องกันเอาไว้ จะอยู่ไปตลอดรอดฝั่ง หรือ เพียงพอกับพนักงานในแต่ละปีหรือไม่
การคำนวณผลประโยชน์พนักงานในแต่ละครั้ง มาตรฐานบัญชีฉบับที่ 19 (TAS19) จึงต้องมีหมายเหตุประกอบงบ หรือ Disclosure note เอาไว้ด้วยว่า ในอนาคตกระแสเงินสดที่บริษัทควรต้องเตรียมไว้คือต้องจ่ายเมื่อไร และจ่ายเท่าไร ซึ่งสามารถอ่านบทความอ้างอิงในเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ที่
เขียนและเรียบเรียงโดย อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน)
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)
อดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย และอาจารย์บรรยายด้านการคำนวณผลประโยชน์พนักงานด้วยหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย ตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 19 TAS19 IAS19
อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรนณีทวีสิน) โทร: (+66) 82-899-7979 E-mail: tommy.pichet@actuarialbiz.com
คุณลักษณา ชัยวุฒิธร โทร: (+66) 81-071-4060 E-mail: abs.office@actuarialbiz.com
ขอสงวนสิทธิ์ของเนื้อหาในบทความ ไม่ให้นำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ ในเชิงพาณิชย์ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากทางบริษัท ABS เท่านั้น



